Mynch Uranukul
Business Development & Education Manager
เจาะลึกมุมมองประสบการณ์การทำงานที่ Disrupt Technology Venture บริษัทที่สนับสนุนการพัฒนา Entrepreneurship, Leadership, Innovation เพื่อสร้าง impact ระดับประเทศและภูมิภาค
สวัสดีค่ะ มิญชค่ะ ตอนนี้ทำงานเป็น Business Development and Education Manager ที่ Disrupt Technology Venture ค่ะ จะมาเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับประสบการณ์ของมิญชที่ Disrupt ค่ะ :)
ต้องบอกว่าการที่ได้เข้ามาทำงานในที่ที่มีโอกาสทำงานเพื่อช่วยพัฒนาบุคคลทั่วไป หรือ leaders องค์กรให้สามารถสร้าง impact พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมวงกว้างได้ ถือว่าตอบโจทย์เป้าหมายส่วนตัวของมิญชตั้งแต่สมัยเรียน มิญชค่อนข้างรู้ตัวเองว่ามีความชอบในด้านการช่วยเหลือคน พัฒนาคน เวลาทำกิจกรรมต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัยก็จะเกี่ยวข้องกับด้านนี้ ซึ่งจะรู้สึกมี passion และอินไปกับมัน
แรกเริ่ม ก่อนที่จะมาทำงานที่ Disrupt มิญชได้รับโอกาสทำงานด้าน HR และ People Development ซึ่งเป็นงาน consult ให้องค์กรต่าง ๆ ทำให้เราเริ่มเล็งเห็นและเข้าใจว่า แท้จริงแล้ว value/why ส่วนตัวของเรา คือ การได้ช่วยเหลือให้คนที่ต้องการพัฒนาตัวเอง ได้พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น ณ ตอนนั้น มิญชจึงตัดสินใจเริ่มค้นหาเกี่ยวกับ value/why ตรงนี้ด้วยการเข้าไปทำงานที่ Saturday School โดยใช้ความรู้และทักษะที่มี เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยริเริ่มโครงการ Saturday School Student Support ซึ่งเป็นการช่วยพาน้อง ๆ ในเครือข่ายโรงเรียนขยายโอกาส ของโครงการโรงเรียนวันเสาร์ และสนับสนุนพวกเขาไปสู่ความฝันตัวเอง ซึ่งงานประจำที่ทำไปควบคู่ด้วย ณ ขณะนั้น เป็นบริษัท EdTech ซึ่งเป็น Online Learning Platform ที่ช่วยสนับสนุนให้การเรียนรู้เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา สองจุดนี้จึงยิ่งทำให้ value/why ของตัวเองชัดเจนมากขึ้นไปอีก พอได้มาทำงานที่ Disrupt จึงเป็น opportunity ที่ค่อนข้าง rare มากสำหรับมิญช
การทำงานที่ Disrupt นั้นพิเศษและแตกต่างจากสิ่งที่เคยทำมาทั้งหมดเป็นอย่างมาก มีอยู่หลายข้อคิดเห็นที่มิญชมองว่าเป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจและไม่เหมือนที่ไหน
หลาย ๆ องค์กรใช้จุดขายเรื่องทำงานหลากหลายหน้างานเพื่อดึงดูดคนรุ่นใหม่ แต่ที่นี่นอกจากจะหลากหลายมาก ๆ แล้ว ยังมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน หรือบางทีเป็นเรื่องที่แทบจะเรียกว่าไม่มีใคร (ในประเทศ) เคยทำมาก่อนเลย แต่สามารถสร้าง impact คืนให้กับสังคมได้
ตัวอย่างสิ่งที่ Disrupt ลงมือทำเป็นครั้งแรกในประเทศไทย คือ การสร้าง StormBreaker Venture ซึ่งเป็น Accelerator เจ้าแรกของประเทศไทยโดยเน้นโฟกัสด้าน EdTech หรือเรียกอีกอย่างว่า ‘โครงการบ่มเพาะผู้ประกอบการด้านการศึกษา’ จัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริม สนับสนุนให้ EdTech Startup ที่เพิ่งเริ่มต้น มีศักยภาพเพียงพอที่จะพัฒนาให้เป็นธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้เลี้ยงตัวเองได้ โดยสิ่งที่ StormBreaker Venture ทำ คือการมอบเครื่องมือที่จำเป็นในการสร้างธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น เงินลงทุน, Mentorship จากผู้เชี่ยวชาญระดับท็อปของประเทศไปจนถึงระดับโลกซึ่งหาตัวจับได้ยาก ไม่ว่าจะเป็นในแวดวงธุรกิจ สตาร์ทอัพ หรือการศึกษา
ซึ่งแน่นอนว่าการที่จะทำงานลักษณะแบบนี้ ไม่ใช่งานที่จะมีความชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้น ไม่มี scope ที่ชัดเจน มีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลา จึงจำเป็นต้องใช้ ownership สูงมากในการขับเคลื่อน เรียกได้ว่าต้องมีใจ มี passion มีแรงผลักดันเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก ๆ ซึ่งจากประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาที่อื่น ๆ อาจจะมีจุดที่เราเริ่มที่จะอยู่ตัวกับการทำ task ต่าง ๆ และใช้เวลาน้อยลงกับ task นั้น ๆ แต่ที่ Disrupt เราจะเผชิญกับ learning curve ใหม่ ๆ และความเปลี่ยนแปลง Disruption ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา จนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว 555+
จากที่มิญชได้ทำงานที่ Disrupt ก็ได้มาพบกับพาร์ทที่ค่อนข้าง challenge ซึ่งก่อนหน้านี้ มิญชไม่เคยทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐฯ โดยตรงมาก่อน แต่ที่นี่ทำให้มิญชได้มีโอกาสดูแลโครงการที่ทำร่วมกับ กสศ. ตลอดระยะเวลาหนึ่งปี (และในปีนี้เราก็ยังคงเป็น partner กันต่อมาเรื่อย ๆ) มิญชจึงต้องเรียนรู้วิธีการทำงานในรูปแบบของภาครัฐฯ ใหม่ทั้งหมด ซึ่งแน่นอนว่ามีรายละเอียดเยอะมาก ถึงแม้ช่วงแรกจะมีอุปสรรค ต้องเรียนรู้เยอะ แต่ด้วยแรง support ของสมาชิกทีมดิสรัปท์ ทำให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี รวมถึงโครงการที่เราตั้งใจทำก็สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีเช่นกัน และนี่เป็นเพียงแค่หนึ่ง project ซึ่งยังมีอีกหลายโครงการที่มิญชได้ทำ และมีความท้าทาย ต้องงัด skill ใหม่ ๆ ขึ้นมาใช้อีกมาก
และ benefit ของการทำอะไรใหม่ ๆ นั่นก็คือ เราไม่จำเป็นต้องอยู่ในกรอบเลย เราสามารถปรับหรือเปลี่ยนใหม่ได้ตามความเหมาะสม ซึ่งที่นี่ encourage การคิดไอเดียสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ เพื่อมอบ experience ที่ดีที่สุดให้แก่ stakeholders ของเรา สำหรับตัวมิญชเองมาจากบริษัท consult ระดับท็อปของโลก และเคยคิดว่าเราเองก็น่าจะมีของในระดับหนึ่งแล้ว แต่พอมาที่นี่ก็ต้อง reskill เยอะอยู่เหมือนกัน >_< เนื่องจากตอนที่ทำงานที่ปรึกษาจะเป็นงานที่มี framework และมีเส้นกรอบตีชัดเจน
สำหรับหนึ่งในโปรเจ็กต์ที่มิญชคิดว่าต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์มากที่สุด คือ โปรเจ็กต์ CXO ที่มิญชมีโอกาสได้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนในโปรแกรมนี้ โดยเป้าหมายสำคัญของทีมงาน คือ การมอบประสบการณ์การเรียนรู้ที่ดีที่สุดแบบที่ไม่สามารถหาจากที่ไหนได้ อย่างเช่นกิจกรรม ที่มีทั้งกิจกรรมที่ฝึกทักษะ ให้ความรู้ในคลาสเรียน และกิจกรรมที่ bonding ของนักเรียน ของชำร่วยต่าง ๆ หรือรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทีมงานช่วยกัน craft ขึ้นมา เป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขทุกครั้งเมื่อได้เห็นนักเรียน CXO มีความสุข
บรรยากาศการทำงานที่นี่จึงเต็มไปด้วยการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ มีความ challenge สูง จึงทำให้ที่นี่เป็น learning culture และความพร้อมที่จะพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา เป็นสถานที่ของกลุ่มคนที่มีความสนใจในเรื่องการสร้าง impact มาอยู่รวมกัน และที่สำคัญ ยังพร้อมที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มี empathy ให้ความรู้ให้กำลังใจกัน ซึ่งมิญชคิดว่าตรงนี้น่าจะมาจาก nature ของงานในลักษณะนี้ ซึ่งหากทีมไม่ช่วยเหลือกัน หรือไม่มี supportive environment ไม่มีกำลังใจในการทำงาน ก็ยากที่จะทำให้เรื่องยาก ๆ make it happen ได้ นี่จึงเป็นเหมือนอีกหนึ่ง key หลักที่มิญชได้รับจากการทำงานที่นี่
สำหรับโอกาสที่หายากมาก ๆ สำหรับมิญช คือ การได้มีโอกาสเข้าร่วม Round Table กับรัฐบาลของรัฐ Victoria ประเทศออสเตรเลีย ผู้ประกอบการ สถานศึกษาที่สนใจเรื่อง Edtech และ Education landscape ของ ประเทศไทย เพื่อมองหาความร่วมมือในอนาคตด้วย ซึ่งเป็นโอกาสที่มิญชรู้สึกว่าที่นี่ได้ให้โอกาสเราแสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ ยังให้สิ่งที่สำคัญมากไปกว่านั้น นั่นก็คือ ‘trust ที่ทีมมอบให้’ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่ามาก
สำหรับใครที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วสนใจสิ่งที่ Disrupt ทำ สามารถเข้าไปทำความรู้จักเพิ่มเติมได้ที่ https://www.disruptignite.com และนอกจากนี้ยังสามารถติดตามผ่านช่องทาง Facebook หรือ Linkedin ได้นะคะ :)
#LifeAtDisrupt #DisruptRules