บทสรุป Future of Education (part1)

November 6, 2018
Krating Poonpol

บทสรุป Future of Education (ตอนที่ 1) 

จากการบรรยายของ Michael Staton, Top 100 Innovator in Education และ Partner ของ Learn Capital ในงาน Education Disruption Conference 2018 โดย Disrupt, KBank และ TCP

หากใครได้ไปฟังการบรรยาย keynote ของคุณ Michael Staton หลาย ๆ คนคงจะบอกเหมือน ๆ กันว่า งานนี้คุณ Michael จัดเต็มและเป็น 1 ชั่วโมงที่เนื้อหาเข้มข้นมาก ๆ จนผมต้องขอแบ่งสรุปออกมาเป็น 4 ตอน และผมได้ใส่มุมมองของผมจากการพูดคุยกับคุณ Michael มากว่า 2 ปีด้วยครับ

คุณควรที่จะ Disrupt แทนที่จะมานั่ง Transform ระบบดั้งเดิม

คุณไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้โดยการไปสู้กับระบบการศึกษาปัจจุบัน และคุณไม่สามารถคาดหวังกับการเมืองได้มากนักกับการสร้างการเปลี่ยนแปลง แต่คุณสามารถสร้าง model ใหม่ ๆ ที่ทำให้ระบบการศึกษาดั้งเดิมนั้นไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป (Creating a new model that makes existing model obsolete) 

ระบบศึกษาแบบดั้งเดิมนั้นเรียกได้ว่าโคม่าอย่างมาก 

ในสหรัฐอเมริกานั้น ความเชื่อมั่นในระบบการศึกษาของรัฐลดลงจาก 60% เป็น 30%, นักเรียนกว่า 50% ไม่ engage กับการเรียนในห้องเรียน และ ผลตอบแทนจากการลงทุนด้านการศึกษา (ROI) ลดลงอย่างมาก ในขณะที่ต้นทุนค่าเรียนแพงขึ้นมหาศาล

เรากำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญทางด้านการศึกษาที่ถูกผลักดันด้วย Technological Disruption 

ซึ่งทำให้ตลาดแรงงานและความต้องการด้านทักษะและความสามารถนั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก 

ทำให้ระบบการศึกษาต้องพัฒนาจาก lecture ไปเป็น learning media

ทำให้ homework ต้องพัฒนาไปเป็น prework

ทำให้ course ต้องพัฒนาไปเป็น pathway

ทำให้ exams ต้องพัฒนาไปเป็น progression

ทำให้ teacher ต้องแปลงตัวเองไปเป็น facilitators

ทำให้ school ต้องพัฒนาไปเป็น learning environment

ทำให้ workers ต้องพัฒนาไปเป็น tradentrepreneurs

และจากลูกจ้าง (employees) ต้องพัฒนาไปเป็น agile professionals

และด้วยการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้เอง รวมทั้งโอกาสในตลาดการศึกษาที่ใหญ่ถึง 1.4 trillion USD รวมทั้งช่องว่างทางความต้องการด้านการศึกษาที่ระบบแบบดั้งเดิมตอบสนองไม่ทัน (demand out-varies supply) ซึ่งเมื่อรวมกับเงินทุนจาก venture capitalist อย่าง Learn Capital ก็ทำให้มี startups ที่ทำทางด้านการศึกษา (EdTech startups) เติบโตขึ้นกว่า 30 เท่า จาก 80 บริษัทไปเป็น 2,500 บริษัท

Open Education Innovation Ecosystem

โจทย์ใหญ่ทางด้านการ Disrupt Education เพื่อสร้างการศึกษาแห่งอนาคตจึงเป็น การสร้างระบบนิเวศน์แห่งนวัตกรรมด้านการศึกษาแบบเปิด (Open Education Innovation Ecosystem) ที่เกื้อหนุนให้เกิด EdTech Innovations และ Startups

EdTech startups ยุคแรก ( EdTech 1.0) 

หลาย ๆ ตัวตั้งต้นจากการ "Unbundle Traditional Education" หรือการทำ killing features ที่ทำหน้าที่ 1 หรือ 2 อย่างได้ดีกว่าการเรียนการสอนแบบดั้งเดิมมาก ๆ และฉีกกระชากระบบการศึกษาแบบดั้งเดิมที่มัดรวมการเรียนการสอน และบริการต่าง ๆ หลาย ๆ อย่างเข้าด้วยกัน ทำให้ระบบนั้นมีความไม่ยืดหยุ่นอย่างมาก 

ตัวอย่าง EdTech ที่ทำ killing feature ที่ unbundle เช่น Photomath ที่เป็น แอพ ที่คุณ Michael ได้เข้าไปลงทุน สามารถให้ผู้ใช้ถ่ายรูปสมการคณิตศาสตร์ แล้ว A.I. จะสามารถรับรู้ว่าปัญหาคณิตศาสตร์นั้นคืออะไร และแก้โจทย์อย่างไร ซึ่งทำให้การเรียนการสอน คณิตศาสตร์มีประสิทธิภาพขึ้นมาก และปัจจุบัน มียอด download กว่า 80 ล้าน download และมีผู้ใช้ต่อเดือนกว่า 14.5 ล้านคน และมีโจทย์คณิตศาสตร์ที่ photomath แก้กว่า 20 ล้านโจทย์ต่อวัน

EdTech startups - Platform

EdTech startups บางตัวในยุคแรก ได้เติบโตจนกลายมาเป็น platform และสามารถสร้างบริการด้านการศึกษาที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการศึกษาแบบดั้งเดิมหลาย ๆ เท่า ในราคาที่ถูกกว่าอย่างมาก และใช้เวลาในการเรียนน้อยกว่าหลายเท่าตัว ทำให้ productivity ด้านการศึกษาเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด เช่น

General Assembly เป็น Career Accelerator ที่ทำให้ผู้เข้าเรียนใช้เวลาไม่กี่อาทิตย์ก็สามารถมีทักษะที่สำคัญมาก ๆ ในยุค Digital ในเวลาที่สั้นกว่าการเรียนในมหาวิทยาลัยถึง 16 เท่า และมีอัตราการได้งาน 90% ในเวลา 3 เดือนหลังจากเรียนจบ และมีรายได้เฉลี่ยกว่า 90,000 USD ต่อปี และมีผู้จบจาก General Assembly แล้วกว่า 35,000 คน

หรือ Bridge ที่เป็น Scalable, Ultra low-cost School Network ใน 5 ประเทศใน แอฟริกา ที่ช่วยพัฒนาการเรียนรู้ให้นักเรียนกว่า 250,000 คน และนักเรียนมีผลการเรียนดีกว่าค่าเฉลี่ยถึง 2 เท่า 

หรือ SoloLearn ที่เป็น Mobile-first Coding Community เป็นชุมชนการเรียนรู้ด้านการเขียน program และ coding ที่มีผู้ใช้กว่า 22 ล้านคน 

หรือ Edmodo ที่เป็น social network แห่งการเรียนรู้ มีผู้ใช้กว่า 90 ล้านคน และมีบทเรียนที่ครู/นักเรียน แชร์กันกว่า 230 บทเรียนต่อนาที 

หรือ MakeSchool ที่เป็น Product University สำหรับ Maker โดยเฉพาะ ที่ย่นเวลาเรียนจาก 4 ปีเป็น 2 ปี และ 95% ของผู้จบการศึกษา สามารถได้งานกับบริษัทชั้นนำอย่าง Google, Tesla, Apple ภายใน 3 เดือนหลังจากจบ

ปัจจุบันนี้ EdTech กำลังก้าวเข้าสู่ EdTech 2.0: The Rise of Live ที่เราจะไปต่อกันใน ตอน 2 ครับ :)

หากเพื่อน ๆ เห็นว่าเป็นประโยชน์ และอยากอ่านตอนต่อ ๆ ไป

ฝากแชร์ด้วยนครับ #EducationDisruption 

Update ความรู้จาก Disrupt ได้ที่ช่องทาง