Noon Ananya
Business Analyst Intern at Disrupt Technology Venture
หากพูดถึงปี 2020 คงเป็นปีที่ลูกหลานของเราได้จารึกไว้ว่าเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลง ใครจะคาดคิดว่า ภายในเวลาไม่ถึงเดือน สนามบินทั่วโลกต้องยุติการบินกระทันหัน ภายในเวลาสามเดือนธุรกิจต่าง ๆ ต้องหยุดให้บริการ อย่างไรก็ตามอดีตไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แต่หากจะพูดถึงอนาคต ก็คงไม่มีใครคาดการณ์ได้แม่นยำ ทั้งนี้ Mahatama Gandhi ได้กล่าวไว้ว่า “The future depends on what we do in the present” แล้วนวัตกรอย่างคุณ เข้าใจปัจจุบันมากพอที่จะพร้อมสำหรับการสร้างอนาคตแล้วรึยัง?
ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ผู้คนต่างตื่นตระหนกกับตัวเลขที่ถูกประกาศตามหน้าเว็บไซต์ข่าว
แต่ในช่วงเหตุการณ์นี้ กลับมีคนจำนวนหนึ่งที่ได้ลงมือปฏิรูปองค์กรและตัวเองอย่างเร่งด่วน แล้วอะไรคือบทเรียนที่เราสามารถนำมาเรียนรู้ได้
ในอีกแง่เหตุการณ์ในปีนี้กลับกลายเป็นฝันที่เป็นจริงสำหรับใครหลาย ๆ คน อะไรคือความแตกต่างที่เกิดขึ้น โดยใน 4 เดือนที่ผ่านมา เราได้บทสรุปแล้วว่า บรรดาบริษัทที่ประสบความสำเร็จ มักจะมีอย่างน้อยหนึ่งปัจจัยดังต่อไปนี้
ดัชนี Nasdaq 100 ในช่วงที่ผ่านมาได้เติบโตขึ้น แต่เป็นการเติบโตที่มาจาก 6 บริษัทยักษ์ใหญ่เท่านั้น ในขณะที่บริษัทอื่น ๆ กำลังเสี่ยงกับการล้มละลาย บริษัทเหล่านี้ได้ก้าวขึ้นถือ market cap มากกว่า 40% สูงสุดนับแต่ก่อตั้งบริษัทมา
Lululemon หนึ่งในบริษัทที่กล้าพูดได้ว่า รอดพ้นจากวิกฤตครั้งนี้ ประมาณการณ์รายได้ลดลงเพียง 17% พร้อมทั้ง market share ที่กำลังเพิ่มขึ้นสูงเรื่อย ๆ ด้วย target ที่ชัดเจนในกลุ่มลูกค้าที่เล่นโยคะที่บ้าน และการตอบสนองต่อลูกค้าอย่างทันท่วงที เมื่อเทียบกับร้านค้าปลีกเสื้อผ้าในตลาดเดียวกันที่รายได้ตกต่ำลดถึง 50% พร้อมทั้งรอต่อคิวยื่นเอกสารล้มละลายกันอย่างถ้วนหน้า
ในเดือนกุมภาพันธ์ หุ้นของ Tesla พุ่งขึ้นสูงถึง 36% จากการเติบโตของ EV car และความเชื่อมั่นใน technology ดาวเทียม ยานอวกาศ ของนักลงทุน ขณะที่ค่ายรถยนต์ทั่วโลก กำลังเดือดร้อนอย่างมากกับยอดจองที่ลดลง และ supply chain ที่ไม่สามารถดำเนินการผลิตต่อไปได้
สิ่งที่ธุรกิจดังกล่าวมีเหมือนกัน คือการตอบสนองที่รวดเร็ว และแผนการที่ชัดเจนสำหรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต หรือจริง ๆ แล้ว การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง มันเป็นเพียงกระบวนการเร่งเครื่อง ที่พัฒนาผู้นำแห่งอนาคต และทำลายกรอบปฏิบัติให้ผู้คนหันมาตระหนักรู้และสร้างการเปลี่ยนแปลงพร้อมกัน
ทั้งนี้ทั้งนั้น ปัญหาที่ทุกบริษัทต่างประสบเหมือนกัน คือบุคลากรเก่าที่ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป และบุคลากรใหม่ที่ยังคงขาดแคลน เช่นนั้น อะไรคือแนวทางในอนาคตที่พวกเราทุกคนควรจะมุ่งหน้าไปพร้อมกัน?
ครั้งหนึ่ง Bill Gates เคยคาดคะเนเหตุการณ์นี้ใน TedTalk ของเขา แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น และเตรียมตัวให้พร้อม ในเมื่ออดีตไม่อาจะแก้ไขได้ แต่เราสามารถนำเอาบทเรียนมาเตรียมอนาคตให้ดีได้ เพื่อปูเส้นทางแห่งการเป็นนวัตกรที่แท้จริง ดังนี้
1. สำคัญกว่าวิชาเรียน คือ วิชาการรับมือกับความเปลี่ยนแปลง เมื่อทุกบริษัทต้องการ skills ใหม่ ๆ เพื่อตอบรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทุกคนจะต้องปรับตัว แต่ skills ใหม่นั้น กลับเป็นสิ่งที่ไม่มีใครได้เรียนรู้สมัยที่ยังเป็นนักเรียนอยู่ คำถามแรกที่นายจ้างต่างถามก่อนตัดสินใจปลดพนักงาน คือ คุณสามารถทำ skills ใหม่ตรงนี้ได้หรือไม่?
2. Technology ไม่ใช่เป็นเครื่องอำนวยความสะดวกอีกต่อไป แต่กลายเป็นหัวใจหลักที่อยู่ในทุกการเรียนรู้ เมื่ออยู่ในเหตุการณ์ที่ถือเป็น new normal ไม่สามารถพบปะเจอกันได้ technology เป็นเครื่องมือเบื้องต้น ทำให้เราสามารถสื่อสารกัน สถาบันการศึกษาทุกหนแห่ง เริ่มลงทุนสร้าง platform ของตัวเอง และมีแนวโน้มที่ในอนาคต จะหันมาทำให้เกิดเป็นการเรียนรู้บนโลกออนไลน์เกือบ 100%
3. มนุษย์สามารถใช้ Technology เพื่ออำนวยความสะดวกได้ แต่ไม่สามารถลาขาดจาก human intereaction ได้ พวกเราทุกคนเป็นสัตว์สังคม ที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่สามารถทดแทนการใช้ชีวิตทางสังคมด้วย tecnology ไม่ว่าจะสร้างหุ่นยนต์ที่ดีพร้อมอีกสักกี่ตัว ดังนั้น หนึ่งในตัวแปรสำคัญที่จะทำให้เราชนะหุ่นยนต์ได้ คือความคิดสร้างสรรค์ และความฉลาดทางสังคม ทั้งสิ้น
4. โลกเปลี่ยนไปในแบบที่ไม่มีใครคาดคิด ตำรา หนังสือ คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญไม่สามารถอธิบายเหตุการณ์ทุกอย่างได้อีกต่อไป สังคมกำลังถูกเซ็ตศูนย์ใหม่ ผู้ที่จะชนะในศึกนี้ได้ คือผู้ที่กล้าจะทำสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน โดยหลายสถาบันการศึกษา ได้หันมาให้ความสำคัญกับ platform จำลองสถานการณ์สมมุติ เพื่อเป็น safe zone ให้ผู้เข้าเรียนได้ลองผิดลองถูก และก่อให้เกิดนิสัย กล้าคิด กล้าทำ ด้วย entrepreneurial mindset
5. หมดยุคของโลกาภิวัตณ์อย่างสิ้นเชิง supply chain ของทุกอุตสาหกรรมจะถูกทำให้ localized มากขึ้น การเดินทางข้ามทวีปเป็นสิ่งที่ทำได้ยากในช่วงนี้ และยังไม่มีสัญญาณที่จะกลับมาเป็นเช่นเก่าได้ในเร็ววัน บริษัทใหญ่ทั่วโลก กำลังวางแผนที่จะปรับปรุงการผลิตของตัวเองใหม่ เงินทุนจะไหลเข้าประเทศใหม่ และไหลออกจากประเทศเก่า ประเทศที่สามารถสร้าง strategic advantages ของตัวเองได้ จะได้รับโอกาสนั้นเป็นคนแรก รวมทั้งในแง่ของการศึกษาที่ ที่ความสนใจในการเรียนต่อของนักเรียน เริ่มหันมาที่มหาลัยที่ใกล้กับภูมิภาคของตัวเองมากขึ้น
6. การพัฒนาทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่มีสิ่งใดสำคัญมากไปกว่าพื้นฐานของชีวิตและมนุษยธรรม เมื่อจำเป็น ผู้คนทั่วโลกพร้อมจะหยุด และยอมรับเงื่อนไขทุกอย่าง เพื่อรักษาชีวิตของตนและเพื่อนร่วมโลกไว้ การศึกษาก็เช่นกัน hard skill และ soft skill คงไม่พอสำหรับเด็กยุคใหม่ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเพิ่ม ethics เข้าไปด้วย
หน้าที่ของนวัตกร คือการสร้างสรรค์สิ่งใหม่เพื่อตอบสนองการใช้ชีวิต และแก้ไขปัญหาสังคม ในมุมของ Disrupt Technology Venture เราสร้างสรรค์ผู้ประกอบการเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์เช่นนี้ อนาคตคือสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้ แต่นี่จะเป็นสนามที่ยิ่งใหญ่ที่จะให้นวัตกรของสังคมได้แสดงฝีมืออย่างเต็มที่ เพื่อสร้างสรรนวัตกรรมและเปลี่ยนเปลงสังคมต่อไป โดยเรามีความเชื่อมั่นว่า การลงทุนลงแรงในการศึกษา จะก่อให้เกิดผลที่ยั่งยืนและยิ่งใหญ่ในอนาคต อย่างคุ้มค่ามากที่สุด
การลองสิ่งใหม่ มักเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่คำตอบ ไม่มีคำว่าผิดหรือถูก การกล้าที่จะลองเท่านั้น ที่จะทำให้เราสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมที่เป็นอยู่ได้