Quiet Quitting คืออะไร? ทำไมถึงเป็นเทรนด์สำคัญในการทำงาน
ในยุคที่ความสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัวเป็นสิ่งสำคัญ หลายองค์กรกลับต้องเผชิญกับปรากฏการณ์ Quiet Quitting ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในทัศนคติของพนักงานเกี่ยวกับการทำงาน การเข้าใจความหมาย รวมถึงเข้าใจผลกระทบของมัน จะช่วยให้องค์กรสามารถรับมือและสร้างความยั่งยืนในการทำงานได้ดียิ่งขึ้น
Highlight
- Quiet Quitting คือปรากฏการณ์ที่พนักงานทำงานเฉพาะหน้าที่โดยไม่มีความกระตือรือร้นหรือความมุ่งมั่นในการทำงานเพิ่มเติม
- สาเหตุเกิดจากความเหนื่อยล้า, ค่าตอบแทนไม่คุ้มค่า, ขาดการยอมรับ หรือการขาดแรงจูงใจในการทำงาน
- ผลกระทบอาจทำให้องค์กรสูญเสียความสามารถในการแข่งขันและพนักงานไม่เต็มที่ในการทำงาน
- องค์กรควรสร้างสมดุลในชีวิตการทำงาน, ให้การสนับสนุนพนักงาน, และส่งเสริมการยอมรับเพื่อเพิ่มแรงจูงใจและการมีส่วนร่วม
Quiet Quitting คือ การทำงานแบบ “เฉพาะหน้าที่” ที่พนักงานเลือกทำเฉพาะสิ่งที่ถูกกำหนดในขอบเขตงานโดยตรง โดยไม่ทุ่มเทเกินกว่าที่ตกลงไว้หรือรับงานที่อยู่นอกเหนือความรับผิดชอบ ตัวอย่างเช่น การไม่ทำงานล่วงเวลา การปฏิเสธงานเพิ่มเติม และการหลีกเลี่ยงการมีส่วนร่วมในกิจกรรมขององค์กร
ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้หมายถึงการลาออกอย่างเป็นทางการ แต่เป็น “การลาออกทางใจ” ที่พนักงานยังคงปฏิบัติหน้าที่พื้นฐานตามที่องค์กรต้องการ แต่ไม่แสดงพฤติกรรมที่แสดงถึงความมุ่งมั่นหรือความกระตือรือร้นในการทำงาน รวมถึงไม่มองภาพใหญ่ หรืออนาคตที่เป็นไปได้ในการทำงาน ซึ่งในระยะยาวจะส่งผลต่อความก้าวหน้าของทีม
การเกิด Quiet Quitting ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่มักเป็นผลสะสมจากปัจจัยหลายประการ เช่น
- ความเหนื่อยล้าสะสม (Burnout): การทำงานหนักเกินไปโดยไม่มีเวลาพักผ่อนที่เพียงพอจนส่งผลกระทบต่อสภาวะทางจิตใจของคนทำงาน เป็นความรู้สึกที่คนทำงานรู้สึกว่าเหนื่อยเกินกว่าจะทำอะไรต่อได้
- ค่าตอบแทนไม่คุ้มค่า: พนักงานรู้สึกว่างานที่ทำไม่สมดุลกับผลตอบแทนที่ได้รับ ทำให้ไม่มีแรงจูงใจในการทำงาน เมื่อไม่มีแรงจูงใจในระยะยาว จะทำให้เกิดภาวะ Quiet Quitting
- การขาดโอกาสในการเติบโต: ไม่มีความก้าวหน้าในสายงาน มองไม่เห็นอนาคตของตำแหน่งงานทำอยู่ หรือองค์กรไม่มีการจัดการ Employee Experience ที่ดีมากเพียงพอ ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้คนทำงานขาดแรงจูงใจในการทำงาน
- การขาดการยอมรับ: พนักงานที่รู้สึกว่าความพยายามของตนไม่ได้รับการชื่นชม หรือไม่มีผลกระทบต่อองค์กร
- สมดุลชีวิตการทำงาน (Work-Life Balance) ที่ไม่ลงตัว: การทำงานที่ส่งผลกระทบต่อเวลาส่วนตัว ส่งผลให้เกิดความเหนื่อยล้าสะสม ไม่สามารถแยกชีวิตส่วนตัว กับชีวิตการงานออกจากกันได้
จะเห็นได้ว่าสาเหตุสำคัญของภาวะนี้เกิดขึ้นจากสองปัจจัยภายในหลักๆ 2 ประการ คืออาการเหนื่อยล้าสะสม และการขาดแรงจูงใจในสิ่งที่กำลังทำอยู่ สองสิ่งนี้คือสิ่งที่องค์กรควรเก็บไปคิดต่อเพื่อปรับปรุงระบบหรือกระบวนการทำงาน เพื่อให้พนักงานมีแรงจูงใจ และไม่เหนื่อยล้าจนเกินไป
สัญญาณที่บ่งบอกว่าพนักงานอาจเข้าสู่ภาวะ Quiet Quitting มีหลายประการด้วยกัน วันนี้เรารวบรวมมาให้ 5 อาการหรือสัญญาณเตือนที่หากองค์กรสังเกตเห็นในตัวพนักงานเมื่อไร่ ต้องรีบวางแผนรับมือทันที
- การทำงานเพียงตามคำสั่ง: พนักงานไม่รับผิดชอบงานเพิ่มเติมหรือไม่คิดริเริ่มสิ่งใหม่ ๆ
- การหลีกเลี่ยงการมีส่วนร่วม: เช่น การไม่เข้าร่วมประชุม หรือกิจกรรมขององค์กร
- ลดประสิทธิภาพในการทำงาน: พนักงานใช้เวลาไปกับงานที่จำเป็นเพียงอย่างเดียว
- ไม่มีแรงจูงใจ: พนักงานแสดงออกถึงความไม่กระตือรือร้นหรือความเบื่อหน่าย
- ขาดการสื่อสาร: การลดลงของการพูดคุยหรือแชร์ไอเดียกับเพื่อนร่วมทีม
Quiet Quitter สามารถแบ่งออกได้หลายประเภท ดังนี้
- Passive Quitter : พนักงานประเภทนี้มักทำงานแค่ตามคำสั่ง ไม่มีการแสดงความคิดสร้างสรรค์หรือริเริ่มอะไรใหม่ ๆ
ตัวอย่าง: พนักงาน E ซึ่งเคยเสนอไอเดียพัฒนาโครงการใหม่ ๆ แต่เมื่อไม่ได้รับการตอบรับที่ดี เขาจึงเลือกที่จะทำงานเฉพาะในสิ่งที่หัวหน้ามอบหมายเท่านั้น - Burned-Out Quitter : ผู้ที่หมดไฟจากการทำงานหนักหรือภาระงานที่ไม่สมดุล โดยคนกลุ่มนี้มักแสดงอาการอ่อนล้า ขาดพลัง และไม่มีแรงกระตุ้นในการทำงาน
ตัวอย่าง: พนักงาน F ต้องทำงานล่วงเวลาเกือบทุกวันโดยไม่มีเวลาพักผ่อน ส่งผลให้เขาเริ่มทำงานแบบขอไปทีและไม่สนใจคุณภาพของงาน - Checked-Out Quitter : พนักงานที่มองว่างานเป็นเพียงหน้าที่ที่ต้องทำไปวัน ๆ ไม่สนใจผลกระทบหรือความสำเร็จของงาน
ตัวอย่าง: พนักงาน G มักหลีกเลี่ยงการประชุมและไม่สนใจว่าผลลัพธ์ของงานที่เขาทำนั้นส่งผลต่อทีมอย่างไร - Purpose-Seeking Quitter : พนักงานที่รู้สึกว่างานปัจจุบันไม่มีความหมาย หรือไม่สอดคล้องกับเป้าหมายชีวิตของตนเอง กลุ่มนี้มักมองหางานที่ตอบโจทย์คุณค่าภายในใจ
ตัวอย่าง: พนักงาน H รู้สึกว่างานที่เขาทำไม่มีผลกระทบต่อสังคมหรือความสำเร็จส่วนตัว เขาจึงทำงานเฉพาะที่จำเป็น และเริ่มสมัครงานใหม่ที่ตรงกับความสนใจ
Quiet Quitting เป็นสิ่งที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของพนักงาน ซึ่งในระยะยาวอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานและความก้าวหน้าของทีม ดังนั้นองค์กรควรมีวิธีรับมือเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยอาจปฏิบัติตามแนวทางที่เรารวบรวมมาให้ ดังต่อไปนี้
รับฟังปัญหา และพร้อมรับฟังความเห็นของพนักงาน
การเปิดรับฟังข้อเสนอแนะและแก้ไขปัญหาที่พนักงานเผชิญ ช่วยให้พนักงานรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร
คนทำดี ต้องมีรางวัล!
การมอบคำชื่นชม รางวัล หรือผลตอบแทนทันทีที่เหมาะสม ช่วยสร้างแรงจูงใจและขวัญกำลังใจ
กระจายงานอย่างเหมาะสม
การกระจายงานที่เหมาะสมช่วยลดความเหนื่อยล้าของพนักงาน และทำให้ทุกคนมีโอกาสแสดงศักยภาพอย่างเท่าเทียม รวมถึงต้องมีการจัดการ Performance Management ที่เหมาะสม เพื่อให้เห็นผลลัพธ์การทำงานของพนักงานให้ชัดเจน
งานที่ดี ต้องมีที่ทางให้เติบโต และผลตอบแทนที่คุ้มค่า
ค่าตอบแทนที่คุ้มค่าและเส้นทางการเติบโตที่ชัดเจนเป็นปัจจัยสำคัญในการลดปัญหา Quiet Quitting
หากองค์กรไม่มีวิธีรับมือหรือจัดการกับภาวะ Quiet Quitting อย่างมีประสิทธิภาพ อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานในหลายด้าน ดังนี้
1. ลดประสิทธิภาพการทำงาน
เมื่อพนักงานเลือกที่จะทำงานแค่ในระดับขั้นต่ำ โดยไม่พยายามทำงานเกินความคาดหมายหรือแสดงความคิดสร้างสรรค์ อาจทำให้คุณภาพของงานหรือการดำเนินการในโครงการต่างๆ ลดลงได้ ตัวอย่างเช่น:
- พนักงานอาจจะเสร็จงานแค่ตรงตามเวลาที่กำหนดโดยไม่พัฒนา หรือปรับปรุงงานให้ดีขึ้น
- หากไม่มีการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ หรือไอเดียที่ช่วยพัฒนาองค์กร งานที่ทำอาจจะตามทันเวลาที่จำกัด แต่ไม่สามารถผลักดันให้เกิดการเติบโตในระยะยาว
- การมีพนักงานที่ไม่ได้ทุ่มเทอาจส่งผลให้การทำงานในระดับทีมไม่เต็มที่ ทำให้การดำเนินงานของทั้งทีมช้าลง
2. ขาดความกระตือรือร้นและแรงจูงใจ
เมื่อพนักงาน "quiet quit," พวกเขามักจะไม่มีแรงบันดาลใจในการทำงานอย่างเต็มที่ ซึ่งส่งผลต่อบรรยากาศการทำงานในองค์กร และการร่วมมือกับเพื่อนร่วมงาน ตัวอย่างเช่น:
- พนักงานที่ไม่กระตือรือร้นอาจไม่เข้าร่วมในการประชุมหรือกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมทีม
- ไม่มีการแสดงออกของความสนใจในเป้าหมายหรือวิสัยทัศน์ขององค์กร ซึ่งอาจทำให้ทีมงานอื่นๆ หรือผู้บริหารรู้สึกถึงขาดการสนับสนุน
- ความรู้สึกไม่กระตือรือร้นอาจแพร่กระจายไปยังพนักงานคนอื่น ๆ ทำให้กลายเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่ไม่เน้นการพัฒนา
3. การรักษาพนักงานยากขึ้น
เมื่อพนักงานไม่รู้สึกท้าทายหรือไม่สนุกกับงานที่ทำ พวกเขามักจะเริ่มมองหาทางเลือกใหม่ จนอาจทำให้เกิดการสูญเสียพนักงานที่มีคุณค่าต่อองค์กรได้ ตัวอย่างเช่น:
- พนักงานที่ไม่มีความสุขหรือรู้สึกไม่ท้าทายจะมีความรู้สึกว่าองค์กรไม่ได้ให้โอกาสในการเติบโต หรือไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของพวกเขาได้
- พนักงานเหล่านี้อาจจะมีแนวโน้มที่จะลาออกเพื่อไปหางานใหม่ที่พวกเขาคิดว่าจะสามารถให้ความท้าทายมากขึ้นหรือโอกาสในการพัฒนา
- การสูญเสียพนักงานที่มีทักษะและประสบการณ์อาจสร้างความยากลำบากในการหาผู้ทดแทน ซึ่งอาจทำให้เกิดต้นทุนเพิ่มเติมในด้านการฝึกอบรมและการสรรหาบุคลากร
4. ขาดความสัมพันธ์ที่ดีในทีม
ความสัมพันธ์ในทีมเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญสำหรับความสำเร็จขององค์กร หากพนักงานไม่ได้มีความกระตือรือร้นในการทำงานร่วมกัน อาจทำให้เกิดการขาดการร่วมมือที่ดีระหว่างทีม ตัวอย่างเช่น:
- พนักงานที่ไม่แสดงความสนใจหรือไม่เต็มใจที่จะช่วยเหลือทีมงาน อาจทำให้เกิดความรู้สึกแบ่งแยกระหว่างสมาชิกในทีม
- การขาดการร่วมมืออาจทำให้ประสิทธิภาพของการทำงานในทีมลดลง และยิ่งทำให้เกิดความไม่พึงพอใจในหมู่สมาชิกในทีม
- การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในทีมเป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้เกิดบรรยากาศการทำงานที่ดี หากพนักงาน "quiet quit" ความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานอาจเสื่อมลง
5. อาจทำให้ผลการดำเนินงานขององค์กรลดลง
เมื่อพนักงานที่ "quiet quit" ไม่สามารถให้ประสิทธิภาพที่เต็มที่ในการทำงาน อาจทำให้เป้าหมายหรือผลการดำเนินงานขององค์กรไม่สามารถบรรลุได้ตามที่คาดหวัง ตัวอย่างเช่น:
- งานหรือโครงการต่าง ๆ อาจจะล่าช้า เพราะพนักงานไม่ได้ทุ่มเทในการทำงานอย่างเต็มที่
- ผลงานที่ได้จากพนักงานที่ไม่เต็มใจจะส่งผลกระทบต่อการประเมินผลการดำเนินงานขององค์กร หรือการบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจ
- การมีพนักงานที่ไม่ได้กระตือรือร้นอาจส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันขององค์กรในตลาด เพราะการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการปรับปรุงกระบวนการต่างๆ จะช้ากว่าองค์กรที่มีพนักงานที่มีความกระตือรือร้น
การสร้างสมดุลระหว่างการทำงานและการดูแลพนักงานอย่างจริงจัง เช่น การส่งเสริม Quiet Energy คือ การสร้างบรรยากาศที่สนับสนุนพนักงานให้มีพลังงานเชิงบวกและการพัฒนาที่ต่อเนื่อง จะช่วยให้องค์กรหลีกเลี่ยงปรากฏการณ์ Quiet Quitting และสร้างทีมงานที่มีคุณภาพได้ในระยะยาว
หากองค์กรของคุณกำลังเผชิญกับปัญหานี้อยู่ แล้วยังไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร HR of The Future หลักสูตรที่จะช่วยคุณลับคมการเป็น People Leader เรียนรู้การบริหารคน ให้องค์กรเติบโต ที่มั่นใจได้ว่า คุณจะจบไปพร้อมกับเครื่องมือ และเทคนิคมากมายในการบริหารคน ไม่ให้องค์กรของคุณต้องเจอกับภาวะ Quiet Quitting